เครื่องอัดลม หรือ ปั๊มลมแบบลูกสูบ ( Piston Air Compressor )
เป็นปั๊มลมที่นิยมใช้กันมากที่สุด สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมที่มีขนาดเล็ก ถึง ขนาดกลาง สามารถทำแรงดันได้ต่ำสุดที่ 1 บาร์ ไปจนถึง 1000 บาร์ ทำงานโดยการขับเคลื่อนลูกสูบให้เกิดอากาศอัด และ นำไปเก็บไว้ในถังเก็บลมเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการนำไปใช้งาน
เครื่องอัดลม หรือ ปั๊มลมแบบสกรู ( Screw Air compressor )
เป็นปั๊มลมที่นิยมใช้กันมาก สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลาง ถึง ขนาดใหญ่ สามารถทำปริมาณอากาศอัด และ แรงดันได้สูงกว่าปั๊มลมสูบ จึงนิยมใช้กันในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เนื่องจากสามารถผลิตอากาศอัดได้เพียงพอต่อความต้องการในการผลิตของทั้งโรงงาน
เครื่องอัดลม หรือ ปั๊มลมแบบโรตารี่ ( Rotary Air compressor )
เป็นเครื่องปั๊มลมที่เหมาะกับโรงงานอุตสาหกรรมขนาดเล็ก เนื่องจากสามารถทำปริมาณอากาศอัด และ แรงดันได้น้อย สามารถใช้งานได้กับเครื่องมือเล็กๆเช่น เครื่องพ่นสี เติมลมยาง เป็นต้น
เครื่องอัดลม หรือ ปั๊มลมอุตสาหกรรมมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากในสายการผลิต และ กระบวนการทางอุตสาหกรรม สามารถใช้ได้กับเครื่องมือหลากหลายประเภท การเลือกปั๊มลมอุตสาหกรรมที่เหมาะกับการใช้งานภายในโรงงานนั้น เป็นเรื่องที่สำคัญ และ จำเป็นอย่างมากเพราะปั๊มลมอุตสาหกรรมที่ดีจะสามารถผลิตอากาศอัดได้เพียงพอต่อความต้องการในการใช้งานปั๊มลมแบบโรตารี่ ( Rotary Air compressor )
เป็นปั๊มลมที่เหมาะกับโรงงานอุตสาหกรรมขนาดเล็ก เนื่องจากสามารถทำปริมาณอากาศอัด และ แรงดันได้น้อย สามารถใช้งานได้กับเครื่องมือเล็กๆเช่น เครื่องพ่นสี เติมลมยาง เป็นต้น
การเลือกปั๊มลมอุตสาหกรรมให้เหมาะกับการใช้งานเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าโรงงานอุตสาหกรรมของคุณจะได้ปั๊มลมอุตสาหกรรมที่ให้พลังได้เพียงพอต่อการใช้งาน และ สามารถทำงานได้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้นเราจึงควรลงทุนกับปั๊มลมอุตสาหกรรมโดยพิจารณาถึงปัจจัยดังต่อไปนี้
1. ขนาด : ขนาดของปั๊มลมอุตสาหกรรมมีความสำคัญ เนื่องจากเป็นตัวกำหนดความสามารถในการผลิตอากาศอัด ปั๊มลมอุตสาหกรรมขนาดเล็กจึงเหมาะกับโรงงานที่ไม่ได้ใช้ปริมาณอากาศอัดที่มาก กลับกันในด้านของโรงงานที่มีความต้องการปริมาณอากาศอัดที่มากจึงมีความจำเป็นที่ต้องเลือกใช้ปั๊มลมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มากขึ้นเพื่อให้รองรับและเพียงพอต่อไลน์ผลิตในโรงงาน อีกทั้งขนาดยังเป็นตัวกำหนดพื้นที่ติดตั้งปั๊มลมอุตสาหกรรมอีกด้วย
2. แรงม้า : แรงม้าในปั๊มลมอุตสาหกรรมเป็นตัวกำหนดค่ากำลังในการผลิตอากาศอัด ดังนั้นการเลือกจำนวนแรงม้าที่เหมาะสมกับแรงงานของคุณจึงเป็นสิ่งสำคัญ ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการใช้ปั๊มลมอุตสาหกรรมใช้กับเครื่องกลึง CNC ในจำนวนเครื่องจักรที่ไม่ได้มาก การเลือกใช้ปั๊มลมอุตสาหกรรมเพียง 20-30 แรงม้าก็อาจจะเพียงพอแล้ว อย่างไรก็ตามการใช้งานปั๊มลมอุตสาหกรรมกับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่นการยิงทรายที่ขึ้นอยู่กับขนาดหัวและแรงดันที่ใช้ ก็มีความจำเป็นที่ต้องใช้ปั๊มลมอุตสาหกรรมที่มีแรงม้าสูงขึ้นไป
3. CFM : CFM ( ลูกบาศก์ฟุตต่อนาที ) คือ การวัดปริมาณอากาศอัดที่ปั๊มลมอุตสาหกรรมสามารถส่งได้ เมื่อเลือกใช้ปั๊มลมอุตสาหกรรมจึงควรตรวจสอบให้แน่ใจว่า ค่า CFM ของปั๊มลมอุตสาหกรรมเหมาะสมกับความต้องการของโรงงานคุณหรือไม่ ตัวอย่างเช่น ในอุตสาหกรรมการพ่นทราย คุณต้องใช้ปั๊มลมอุตสาหกรรมที่มีค่า CFM สูงเพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องพ่นทรายของคุณจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. ขนาดถังลม : ขนาดของถังลมเป็นตัวกำหนดปริมาณของอากาศอัดที่สามารถจัดเก็บได้ ขนาดถังลมที่ใหญ่ก็ทำให้คุณมั่นใจได้ว่าโรงงานของคุณจะมีปริมาณอากาศอัดให้ใช้ได้อย่างสม่ำเสมอ แต่หากถังลมใหญ่เกินความจำเป็นในการใช้งานก็ทำให้คุณเปลืองต้นทุนในการเลือกซื้อถังลมนั้นไป
5. แบรนด์ : การพิจารณาเลือกใช้ปั๊มลมอุตสาหกรรมจากแบรนด์ แบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าปั๊มลมอุตสาหกรรมของแบรนด์นั้นๆดีอย่างไร ตัวอย่างเช่น ปั๊มลมสกรูเดลต้า เป็นแบรนด์ปั๊มลมจากประเทศอิตาลี ที่ผลิตและจัดจำหน่ายปั๊มลมคุณภาพสูง และ สามารถนำเสนอสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้มากที่สุด